7 เคล็ดลับการใช้ยาเด็ก

2015-07-22 11:04:52  จำนวนผู้เข้าชม
โดย ".นภสร เมืองคำ
โรงพยาบาลนครปฐม


      

      เด็กและความไม่สบายมักจะเป็นสิ่งที่คู่กัน เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของเด็กยังทำงานไม่สมบูรณ์ ประกอบกับสิ่งแวดล้อมมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้เด็กไม่สามารถปรับตัวได้ทัน ดังนั้นเมื่อเด็กไม่สบาย ผู้ปกครองเลือกการรักษาด้วยยาก่อนที่จะมาพบแพทย์ แต่จะเลือกใข้ยาเด็กอย่างไรให้ปลอดภัยนั้น มี 7 วิธี ดังนี้

 

1.มีไข้แบบไหน เลือกใช้ยาเอง หรือไปพบแพทย์ 
     หากลูกตัวร้อนมีไข้ คุณพ่อคุณแม่ไม่ควรใช้มือแตะหน้าผากหรือเนื้อตัวแล้วสรุปว่า ลูกตัวร้อน แต่ควรวัดอุณหภูมิร่างกายโดยใช้ปรอทวัดไข้เพื่อจะได้ทราบค่าอุณหภูมิที่แน่นอน ด้วยการนำปรอทวัดไข้มาสลัดให้ปรอทลงไปที่กระเปาะแล้วสอดไว้ที่รักแร้ของลูก ทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที จึงนำออกมาอ่าน

     หากอ่านค่าอุณหภูมิได้มากกว่าหรือเท่ากับ 37.8 องศาเซลเซียส ควรเริ่มให้ยาลดไข้พาราเซตามอลร่วมกับการเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น โดยเช็ดย้อนรูขุมขน และเช็ดเน้นบริเวณข้อพับต่างๆ เช่น ซอกคอ รักแร้ ขาหนีบ ข้อพับแขนและขา ควรเช็ดตัวไปเรื่อยๆ จนกว่าไข้จะลด หากไข้ไม่ลดหลังจากการให้ยาครั้งแรกนาน 4 ชั่วโมง สามารถให้ยาลดไข้ซ้ำได้ และให้ซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง

และหากมีไข้เกิน 3 วัน หรือมีไข้สูงมาก เช่น เกิน 40 องศาขึ้นไป หรือไข้สูงลอยให้ยาแล้วไข้ไม่ลด ควรพาไปพบแพทย์โดยด่วน อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะอาจทำให้เกิดอาการชักได้

 

2. หากลูกอาเจียนควรให้ยาซ้ำหรือไม่

     การป้อนยาซ้ำในขณะที่เด็กกำลังร้องไห้แล้วเกิดสำลักหรืออาเจียนเอายาออกมา  สามารถแก้ไขได้ ในกรณีที่ป้อนยาแล้วลูกอาเจียนทันที สามารถให้ยาซ้ำได้  แต่หากให้ยาแล้วลูกไม่อาเจียนทันที ก็ให้ข้ามยามื้อนั้นไปเลย ไม่ต้องป้อนซ้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กได้รับยาเกินขนาด 


3. อย่าผสมยาลงในขวดนม 

     การผสมยาลงในขวดนม แม้ว่าจะเป็นเทคนิคการป้อนยาที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อลดพฤติกรรมไม่ยอมกินยาของเด็กๆ แต่วิธีการนี้ เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากแคลเซียมในนมอาจจับกับยาบางชนิด ทำให้ยาไม่ออกฤทธิ์ และหากเด็กกินนมไม่หมดในครั้งเดียวก็จะทำให้เด็กได้รับยาไม่ครบตามขนาดที่ควรได้รับ ดังนั้นอย่าผสมยาในนมเด็ดขาด หากต้องการผสมให้ใช้น้ำหวานหรือน้ำผึ้งแทน

 

4. ให้ป้อนยาทีละขนาน
     ในกรณีที่เด็กได้รับยาหลายขนาน การผสมหรือบดยาทุกชนิดรวมกัน แล้วป้อนเด็กในครั้งเดียวอาจจะช่วยเพื่อความสะดวก แต่ทั้งนี้เป็นวิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง เนื่องจากการผสมยา มีผลทำให้ลักษณะทางกายภาพของยาเปลี่ยนไป หรือเกิดปฏิกิริยาระหว่างยา เช่น อาจทำให้ยามีฤทธิ์เพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นอันตราย หรือมีฤทธิ์ลดลง ซึ่งจะให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรป้อนยาให้ลูกทีละชนิดจึงจะปลอดภัยกว่า

 

5. อุปกรณ์ป้อนยาเด็ก
     สำหรับเด็กเล็ก อายุน้อยกว่า 1 ขวบหรือในเด็กที่กินยายาก การใช้หลอดดูดยา (syringe) แทนช้อน จึงเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกมากกว่า โดย หลอดดูดยา จะมี ตัวเลขบอกปริมาตรเป็นซีซีแสดงอยู่ ถ้าหาก เด็กต้องกินยา 1 ช้อนชา ก็จะเท่ากับ 5 ซีซี ควรใช้ช้อนที่แถมมาพร้อมกับขวดยา จึงเหมาะสมกว่า

     สำหรับเด็กโตอาจต้องใช้ “ช้อนโต๊ะ”  โดย 1 ช้อนโต๊ะจะเท่ากับ 3 ช้อนชา ดังนั้นหากบนฉลากเขียนไว้ว่า ป้อนยาครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ก็ควรใช้ช้อนโต๊ะที่แถมมาพร้อมกับขวดยาเท่านั้น หรือใช้ช้อนชาป้อน 3 ช้อน และสิ่งที่ควรระวังเสมอเมื่อต้องการกินยา คือ การใช้ช้อนชาที่ชงชาตามบ้าน  หรือช้อนโต๊ะที่ใช้รับประทานอาหาร หากนำมาใช้ตวงยา จะทำให้ได้รับปริมาณยาไม่ตรงตามที่กำหนด ซึ่งอาจจะทำให้เด็กได้รับยามากเกินไป หรือน้อยเกินไป จึงไม่เกิดผลในการรักษา

 

6. เทคนิคการป้อนยาเด็ก
     ปัญหาการกินยายากเป็นเรื่องปกติสำหรับเด็กทุกคน บางครอบครัวจึงใช้วิธีการบีบจมูกเพื่อให้เด็กกลืนยา ซึ่งอาจจะทำให้ลูกกลืนยาได้ง่ายขึ้น แต่เป็นการกระทำที่อันตรายมากเพราะเสี่ยงต่อการที่เด็กจะสำลัก ซึ่งวิธีที่ถูกต้อง คือ การใช้หลอดดูดยาค่อยๆ ฉีดยาเข้าข้างกระพุ้งแก้มเด็ก แต่ถ้าหากเด็กปฏิเสธและต่อต้านมาก อาจต้องขอให้สมาชิกคนอื่นในบ้านช่วยกันจับมือและเท้าของเด็กไว้ไม่ให้ดิ้น แล้วจึงค่อยๆ ฉีดยาเข้าข้างกระพุ้งแก้มก็จะสามารถป้อนยาได้สำเร็จ ระวังฉีดยาเข้าลำคอโดยตรง จะทำให้เด็กเกิดการสำลักได้ และระหว่างการป้อนหากยามียาหก (ซึ่งอาจจะทำให้เด็กได้ยาไม่ครบ) ก็ไม่ต้องให้ยาซ้ำ เนื่องจากเราไม่ทราบว่ายาที่หกไปมีปริมาณเท่าใดกันแน่

 

7. วิธีเก็บรักษายาที่ถูกต้อง
     การเก็บรักษายาที่ถูกวิธี คือ ควรเก็บยาไว้ในตู้ยาสามัญประจำบ้าน และตรวจสอบอายุยาทุกครั้งก่อนหยิบใช้ โดยเราจะเก็บยาที่หมดอายุก่อนไว้ด้านหน้าและหยิบใช้ก่อน ส่วนยาที่หมดอายุทีหลังจะเก็บไว้ด้านใน และควรตรวจสอบอายุยาอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้มียาหมดอายุค้างอยู่ในตู้ยา  กรณีที่ไม่มีตู้ยา ควรเก็บในที่ที่พ้นมือเด็ก ห่างไกลแสงแดด ความร้อนและความชื้น และการเก็บยาที่เปิดใช้แล้วไว้ในตู้เย็นนั้น อาจจะเหมาะกับยาบางชนิด เช่น ยาปฏิชีวนะที่ผสมน้ำแล้ว ซึ่งจะใช้ได้ไม่เกิน 7 วัน แต่ยาบางชนิด เช่น ยาน้ำเชื่อมอาจจะไม่เหมาะที่จะเก็บในตู้เย็น เพราะจะเกิดการตกตะกอน และทำให้ยาเปลี่ยนสภาพได้ ดังนั้นขอให้ดูฉลาก รวมถึงระวังในกรณีที่เก็บยาไว้ในตู้เย็น คือ ต้องไม่วางยารวมไว้กับขวดน้ำดื่ม เพราะเด็กอาจหยิบยาไปกินด้วยความเข้าใจผิดว่าเป็นน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ได้

 

เอกสารอ้างอิง:

ปิลันธนา เขมะพันธุ์มนัส. 7 เคล็ดลับการใช้ยาเด็ก  [อินเทอร์เน็ต]. กรุงเทพฯ: TIMs; c2011 [วันที่อ้างถึง 22 ก.ค. 2558]. ที่มา: http://www.healthtoday.net/thailand/pharmacy/pharmacy_116.html