ยาคุมกำเนิดใช้อย่างไร ในคุณแม่หลังคลอด

2015-09-02 12:52:19  จำนวนผู้เข้าชม
โดย ".นุชนาฏ อู่อรุณ


      

          หลังจากการมีประจำเดือนวันแรก  ร่างกายจะเตรียมพร้อมสำหรับการตกไข่ในรอบเดือนถัดไป  โดยการหลั่งฮอร์โมน FSH จากต่อมใต้สมอง  ทำให้รังไข่และไข่เจริญเติบโตจนสามารถสร้างฮอร์โมน estrogen ไปกระตุ้นการสร้างผนังเยื่อบุมดลูกให้หนาขึ้น  เพื่อรองรับการฝังตัวของไข่หลังเกิดการปฏิสนธิได้  และฮอร์โมน estrogen ยังไปกระตุ้นต่อมใต้สมองให้หลั่งฮอร์โมน LH เพื่อให้เกิดการตกไข่ซึ่งจะเกิดหลังจากการมีประจำเดือนวันแรก 14 วัน  หลังจากนั้นไข่จะเคลื่อนตัวมายังปีกมดลูกเพื่อพร้อมรับการปฏิสนธิจากอสุจิ  หากไม่มีการปฏิสนธิสนธิเกิดขึ้นไข่จะสลายไปพร้อมกับเยื่อบุโพรงมดลูกภายในระยะเวลา 14 วันหลังการตกไข่  และขับออกมาทางช่องคลอดเป็นประจำเดือน  ดังนั้นการมีประจำเดือนในครั้งถัดไปจะเกิดหลังจากการมีประจำเดือนครั้งก่อนประมาณ 28 วัน

          การรับประทานยาคุมกำเนิดสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หลายกลไก  เช่น  ลดการหลั่งฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดการตกไข่  เปลี่ยนแปลงเยื่อบุผนังมดลูกให้ไม่เหมาะแก่การฝังตัวของไข่  หรือทำให้เยื่อบุปากมดลูกข้นเหนียว ขัดขวางการผ่านของอสุจิ  ซึ่งยาคุมกำเนิดชนิดรับประทานต่อเนื่องที่ใช้กันอยู่ทั่วไปมีสองชนิดได้แก่ ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมน estrogen ร่วมกับฮอร์โมน progestrogen (combined hormonal contraceptives; CHCs) ในเม็ดเดียว และชนิดที่มีฮอร์โมน progestrogen เพียงชนิดเดียว (progestin-only hormonal contraceptives; POCs) ซึ่งประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดของยา CHCs จะเหนือกว่ายา POCs  จึงแนะนำยาคุมกำเนิดชนิด CHCs มากกว่าในการคุมกำเนิดผู้หญิงปกติ

          สำหรับคุณแม่หลังคลอดจะมีข้อควรพิจารณาเพิ่มเติมในเรื่องผลข้างเคียงจากยา CHCs เนื่องจากฮอร์โมน estrogen มีผลลดการผลิตน้ำนม  ส่งผลกระทบต่อคุณแม่ที่ต้องการให้นมลูกด้วยตัวเอง  นอกจากนั้นแล้วผลข้างเคียงที่สำคัญของฮอร์โมน estrogen อีกอย่าง คือเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด  เนื่องจากร่างกายหญิงตั้งครรภ์ในช่วงใกล้คลอด จะมีการสร้างสารโปรตีนที่ช่วยให้เลือดแข็งตัวเพิ่มมากขึ้นร่วมกับการเปลี่ยนแปลงสภาวะการไหลเวียนโลหิต  ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็นกลไกตามธรรมชาติของร่างกายเพื่อลดการสูญเสียเลือดของแม่และทารกในขณะคลอด  ซึ่งการรับประทานยาฮอร์โมน estrogen ร่วมด้วยจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือดอุดตันมากยิ่งขึ้น

          ดังนั้นสำหรับคุณแม่หลังคลอดที่ไม่ได้ให้นมลูก ควรรับประทานยาคุมกำเนิดชนิด CHCs ได้ภายหลังจากการคลอดผ่านไป 42 วัน ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ร่างกายมีการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตกลับสู่ภาวะปกติอย่างสมบูรณ์  ส่วนคุณแม่ที่ให้นมลูกควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาคุมกำเนิดชนิด CHCs ภายในระยะเวลา 6 เดือนหลังการคลอด เพื่อป้องกันผลการลดน้ำนมจากฮอร์โมน estrogen ในยาดังกล่าว

ซึ่งในระหว่างที่หยุดการรับประทานยาคุมกำเนิดในช่วงเวลาดังกล่าว  หากคุณแม่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ สามารถรับประทานยาคุมกำเนิดชนิด POCs ซึ่งมีเพียงฮอร์โมน progestrogen เพียงชนิดเดียว  จึงไม่ได้รับผลข้างเคียงจากฮอร์โมน estrogen ดังที่กล่าวไปข้างต้น  แต่ประสิทธิภาพในการคุมกำเนิดจะด้อยกว่าการใช้ยา CHCs จึงควรมีการคุมกำเนิดโดยวิธีอื่นร่วมด้วย  เช่น การใช้ถุงยางอนามัยในเพศชาย  หรือการนับวันที่เป็นระยะปลอดภัยสำหรับการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีความเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์คือช่วงเวลา 7 วันก่อนการมีประจำเดือนในครั้งถัดไป และช่วง 7 วันหลังการมีประจำเดือน  เป็นต้น  อย่างไรก็ตามในคุณแม่ที่ให้นมลูกจะมีการตกไข่อีกครั้งหลังการคลอดในระยะเวลา 9 สัปดาห์ถึง 18 เดือน  ซึ่งช้ากว่าคุณแม่ที่ไม่ได้ให้นมลูกที่จะเริ่มมีการตกไข่อีกครั้งเมื่อผ่านไป 25 วันหลังการคลอด

          ทั้งนี้เมื่อพ้นช่วงในการหยุดรับประทานยา CHCs ดังกล่าว  คือ 6 เดือนในแม่ที่ให้นมลูก และ 42 วันในแม่ที่ไม่ได้ให้นมลูก  คุณแม่สามารถกลับมารับประทานยาคุมกำเนิดชนิด CHCs ได้อย่างปกติ  ซึ่งในคุณแม่ตั้งครรภ์และหลังคลอด  การพิจารณาใช้ยาทุกชนิดควรอยู่ในความดูแลของสูตินารีแพทย์ และเภสัชกรในการให้คำแนะนำด้านการใช้ยาอย่างถูกต้อง

เอกสารอ้างอิง

ยาคุมกำเนิดใช้อย่างไร ในคุณแม่หลังคลอด [Internet]. [cited 2015 Sep 2]. Available from: http://www.pharmacy.mahidol.ac.th/dic/knowledge_full.php?id=31.